การพิจารณาเรื่อง น้ำหนักสัดส่วนของการผลิตคอนเทนต์ และความพร้อมของทรัพยากร เช่น การมีคุณหมอเฉพาะทางด้านศัลยกรรม หรือจำนวนเคสเกี่ยวกับศัลยกรรมที่มีอยู่เป็นจำนวนมาก ก็ควรถูกนำมาประกอบการตัดสินใจว่าจะ แยกเพจหรือไม่ เพราะมันส่งผลต่อทั้ง แนวทางการทำตลาด และ การวางกลยุทธ์การสื่อสาร โดยมีแนวทางดังนี้
คลินิกควรแยกเพจกันกรณีไหนบ้าง?
- กลุ่มเป้าหมายมีความแตกต่างกันชัดเจน
- ลูกค้าสายสกิน: มักมองหาการดูแลผิวพรรณ, รักษาสิว, ฟื้นฟูผิว ซึ่งกลุ่มนี้อาจชอบเนื้อหาเบาๆ หรือโปรโมชั่นรายเดือน
- ลูกค้าสายศัลยกรรม: มักสนใจการปรับเปลี่ยนรูปร่างหน้าตา เช่น ศัลยกรรมจมูก, ตาสองชั้น, เสริมหน้าอก ฯลฯ ซึ่งต้องการข้อมูลเชิงลึก ความน่าเชื่อถือ และรีวิวที่ขับเน้นผลลัพธ์ระยะยาว
- กลุ่มนี้อาจไม่ทับซ้อนกันมาก การแยกเพจจะช่วยให้เนื้อหาโดนใจผู้ติดตามแต่ละกลุ่มมากขึ้น
- ต้องการสร้างแบรนด์เฉพาะทางของแต่ละบริการ
- หากคลินิกต้องการสร้างตัวตนให้ดูเป็นผู้เชี่ยวชาญในแต่ละประเภทบริการ เช่น มีภาพลักษณ์ว่าเป็น “ผู้เชี่ยวชาญด้านผิวพรรณ” ในขณะเดียวกันก็ดูเป็น “คลินิกศัลยกรรมมืออาชีพ” การแยกเพจช่วยเสริมความชัดเจนด้านนี้ได้
- ต้องการลดความซับซ้อนของการสื่อสาร
- การรวมข้อมูลทั้งสองประเภทลงในเพจเดียวอาจทำให้ลูกค้าสับสน เช่น โพสต์รีวิวการดูแลผิวพรรณอยู่ดีๆ แล้วมีรีวิวศัลยกรรมแทรกขึ้นมา อาจทำให้ลูกค้าบางกลุ่มรู้สึกว่าไม่ตอบโจทย์ตนเอง
คลินิกควรใช้เพจเดียวกรณีไหนบ้าง?
- คลินิกมีฐานแบรนด์เดียวกัน มีภาพลักษณ์ชัดเจน
- หากคลินิกต้องการแสดงถึงบริการแบบ ครบวงจร (One-stop service) ที่ลูกค้าเข้ามาแล้วสามารถดูแลความงามได้ทั้งภายนอกและภายใน การใช้เพจเดียวอาจช่วยสร้างภาพลักษณ์ที่แข็งแรงและลดความยุ่งยากในการจัดการ
- ทรัพยากรด้านการตลาดจำกัด
- การทำเพจแยกจะต้องใช้เวลาและทรัพยากรเพิ่มขึ้น ทั้งในแง่ของการทำคอนเทนต์ การยิงโฆษณา และการดูแลลูกค้า การใช้เพจเดียวจะช่วยให้เน้นที่การทำตลาดได้ดีกว่าโดยไม่ต้องแบ่งโฟกัส
- ลูกค้ากลุ่มเป้าหมายเดียวกัน
- หากกลุ่มเป้าหมายของคุณมีความสนใจทั้งสองด้านพร้อมๆ กัน เช่น ลูกค้าเข้ามารับบริการสกินแล้วสนใจศัลยกรรมไปด้วย การรวมเพจจะช่วยให้ลูกค้าเห็นทุกบริการและตัดสินใจง่ายขึ้น