ทำไมเว็บคลินิกส่วนใหญ่ถึงชอบมี Slider ในหน้าแรก

อาจจะเพราะว่า คลินิกมีข้อมูลเยอะ เลยพยายามยัดทุกอย่างไว้ในหน้าแรก เพราะสถิติบอกว่า หน้าแรกคือหน้าที่คนเข้าเยอะ อาจจะทำตามๆกันมา บางส่วนก็บอกว่ามันสวยดี ดูทันสมัย แต่ถ้ามาดูสถิติจากการ tracking กันจริงๆจะพบว่า คนจะดูและคลิกแค่สไลด์แรกเท่านั้น หน้าต่อไปๆ รวมกันยอดคลิก 1-2% แม้จะมีปุ่มให้กดเลื่อนดู หรือภาพสวย คอนเทนท์ดี แต่คนไม่รอหรือกดเลื่อนดู มักเลื่อนลงด้านล่างมากกว่า ถ้าเว็บไหนคอนฟิกไม่ดี จะมีปัญหากับการโหลดด้วย ทำให้เว็บช้าลง ส่งผลต่อการทำงานอื่นๆด้าน seo

วิน - ฝ่ายพัฒนาเว็บไซต์


การใช้ Content Slider (หรือ Carousel) บนเว็บไซต์เป็นที่ถกเถียงกันมากมายในด้านของประสิทธิภาพและผลกระทบต่อผู้ใช้งานเว็บไซต์ มีงานวิจัยและการสำรวจหลายชิ้นที่วิเคราะห์พฤติกรรมของผู้ใช้งานในบริบทของเว็บไซต์ที่มี และไม่มี Content Slider โดยสรุปข้อมูลจากงานวิจัยที่น่าสนใจได้ดังนี้

slider on home page good or not

งานวิจัยเกี่ยวกับพฤติกรรมการใช้ Slider

Impact of Carousels on Engagement – Usability Findings by Jakob Nielsen

  • Jakob Nielsen ผู้เชี่ยวชาญด้าน UX Design แสดงให้เห็นว่าส่วนใหญ่ผู้ใช้ไม่สนใจเนื้อหาใน Content Slider ที่เลื่อนไปโดยอัตโนมัติ (Autoplay Carousel)
  • สรุปจากการวิพฤติกรรมการใช้งานเว็บไซต์ในส่วนของ Content Slider เป็นหัวข้อที่มีการวิจัยอย่างต่อเนื่อง เนื่องจาก Slider (หรือ Carousel) ยังเป็นฟีเจอร์ที่นิยมบนเว็บไซต์จำนวนมาก แต่ผลการสำรวจและวิจัยส่วนใหญ่ชี้ให้เห็นว่าการใช้ Slider อาจไม่ได้เป็นประโยชน์ต่อผู้ใช้ และบางครั้งยังอาจส่งผลเสียต่อประสบการณ์ผู้ใช้ (UX) แทน

การเพิกเฉยต่อตัว Slider (Banner Blindness)

  • ผลสำรวจของ Nielsen Norman Group (NNG)
    • การสำรวจกับผู้ใช้งานเว็บไซต์พบว่า Slider มักจะถูกมองข้าม เนื่องจากผู้ใช้สนใจดูเฉพาะข้อมูลที่สำคัญและแสดงผลได้ทันที แทนที่จะรอให้ Slider เปลี่ยนไปที่เนื้อหาอื่น
    • ผู้ใช้มักสนใจ “ข้อมูลข้อความถาวร” ที่อยู่ในสายตาโดยตรง มากกว่า Slider แบบเลื่อนที่แสดงข้อความชั่วคราว
    • การทำ A/B Testing โดยหลายองค์กรพบว่า หน้าเว็บที่ใช้ Content Highlight คงที่ มักจะมีอัตราคอนเวอร์ชั่น (Conversion Rate) สูงกว่าหน้าเว็บที่ใช้ Slider

การคลิกใน Slider ต่ำมาก

  • รายงานการวิเคราะห์จาก Erik Runyon พบว่า
    • สไลด์แรกของ Slider ได้รับการคลิกประมาณ 84%-94% ของเวลา
    • ส่วนเนื้อหาสไลด์ที่เหลือ (2, 3, 4 ฯลฯ) ได้รับคลิกน้อยกว่า 1% รวมกัน
    • ผู้ใช้ส่วนใหญ่ไม่ได้รอดูสไลด์ทั้งหมด นักการตลาดเรียกปรากฏการณ์นี้ว่า “Slider Fatigue” เพราะผู้ใช้ไม่ค่อยสนใจสิ่งที่ไม่ได้เห็นในครั้งแรก
slider on home page good or not 2

เปรียบเทียบพฤติกรรมระหว่างเว็บที่มีและไม่มี Slide

เว็บไซต์ที่ไม่มี Slider

  • ผู้ใช้งานสามารถเห็นและเข้าถึงข้อมูลสำคัญได้ทันทีโดยไม่ต้องรอ
  • การออกแบบที่ไม่มี Slider ทำให้ข้อมูลลำดับความสำคัญ (Hierarchy) ชัดเจนมากขึ้น และผู้ใช้รู้เลยว่าควรโฟกัสที่จุดไหน
  • การดูหน้าเว็บ (Page Scanning Behavior) เร็วขึ้น เพราะผู้ใช้เลือกสำรวจข้อมูลด้วยตัวเอง ไม่ถูกบังคับให้รอการเปลี่ยนของ Slider

เว็บไซต์ที่มี Slider

  • ผู้ใช้งานที่เร่งรีบหรือไม่อดทนอาจพลาดข้อมูลใน Slides ที่ไม่ใช่สไลด์แรก
  • การแสดงข้อมูลใน slider มักจะขัดกับ “Content Hierarchy” ของผู้ใช้ เพราะข้อมูลกระจัดกระจายและต้องใช้เวลาในการตามดูแต่ละ slide
  • หากการโหลดหน้าเว็บช้า ผู้ใช้มักจะรู้สึกหงุดหงิด โดยเฉพาะคอนเทนต์ที่เขาอยากได้กลับถูกเลื่อนไปยัง Slide อื่น

Slider กับ Conversion Rate (อัตราคอนเวอร์ชั่น)

การทดลองของ University of Notre Dame

  • เว็บไซต์ของมหาวิทยาลัย Notre Dame เคยทดสอบ Slider กับหน้าเว็บการตลาด พบว่าการใช้ Static Content (คอนเทนต์ที่ไม่เปลี่ยนสไลด์) เพิ่มอัตราการคลิกได้สูงขึ้น 29% เมื่อเทียบกับ Slider
  • อัตรา Conversion ดีกว่า เพราะ Static Content ช่วยลดความสับสนให้กับผู้ใช้งานที่ต้องการข้อมูลสำคัญทันที

การวิจัยจาก WordPress Community

  • ใน WordPress Community มีผลสำรวจโดยนักพัฒนาเว็บไซต์พบว่าเว็บไซต์ธุรกิจที่ไม่มี Slider มักมี
    • Bounce Rate ต่ำกว่า
    • Page Speed ดีกว่า
    • Engagement (มีส่วนร่วมของผู้ใช้) สูงกว่าถึง 38% เมื่อเทียบกับเว็บที่ใช้ Slider

พฤติกรรมที่ต่างกันของผู้ใช้

  • ผู้ใช้ ต้องการเข้าถึงข้อมูลได้เร็วที่สุด
    เว็บไซต์ที่ไม่มี Slider ช่วยให้ผู้ใช้สามารถสแกนข้อมูลได้ทันที โดยไม่ต้องรอเวลาเปลี่ยน
  • ผู้ใช้มักเพิกเฉยต่อ Slider ที่หมุนอัตโนมัติ เพราะรู้สึกว่าควบคุมไม่ได้ หรือข้อมูลอาจไม่เกี่ยวข้องกับความต้องการของพวกเขา
  • ผู้ใช้มือถือมักหลีกเลี่ยง Slider
  • Slider อาจยากต่อการโต้ตอบ (Interaction) บนอุปกรณ์มือถือ เช่น การเลื่อนด้วยนิ้ว หรือปัญหากับความเล็กของปุ่ม

แนวทางใหม่ แทนที่ Slider

หากต้องการรักษาข้อมูลให้น่าสนใจ แต่เลี่ยงปัญหา Slider สามารถใช้ แนวทางที่ดีกว่า เช่น

  • ใช้ Static Hierarchical Content: ใช้ข้อความและภาพที่สำคัญนำเสนอเป็นส่วนๆ แทนการใส่ Slide
  • ใช้ Tabbed Navigation: หากต้องการแสดงข้อมูลหลายชุด (เหมือน Slider) ใช้ Tab หรือ Toggle Switch เพื่อให้ผู้ใช้เลือกดูเนื้อหาเอง
  • หากต้องมี Slider จริงๆ
    • ใช้ Manual Slider (ควบคุมได้เอง): ลดปัญหาอัตโนมัติหมุนแล้วผู้ใช้พลาดข้อมูล
    • เปิดใช้ Lazy Load และลดขนาดภาพเพื่อลดผลกระทบต่อ Page Speed

สรุป

  • เว็บไซต์ที่ไม่มี Slider มักจะให้ประสบการณ์ผู้ใช้ (UX) ที่ดีกว่า เพราะผู้ใช้งานสามารถเข้าถึงข้อมูลสำคัญได้ในทันที
  • Slider อาจเหมาะกับการแสดงผลในบางกรณี เช่น Portfolio หรือ Showcase แต่ควรจำกัดการใช้งาน
  • หากต้องใช้ Slider จริงๆ ควรออกแบบให้ทำงานไว น้ำหนักเบา และไม่ซับซ้อน เพื่อให้เว็บไซต์ยังคงโหลดเร็วและไม่เสีย PageSpeed Score
  • ถ้าแนะนำลูกค้าไปแล้ว แต่ลูกค้าตัดสินใจอยากให้มี ก็ถือว่าเป็นที่สิ้นสุด 🙂

เรื่องนี้ตอบยาวเลยนะครับ เพราะในยุคที่การแข่งขันในธุรกิจคลินิกความงามสูงขึ้น กลยุทธ์แจกบริการหรือสินค้าฟรี เช่น การวิเคราะห์ผิว เทสเตอร์ครีม หรือทรีทเมนท์ฟรี เริ่มได้ผลน้อยลง เพราะลูกค้าเริ่มไม่ตื่นเต้น ไม่เชื่อมั่น หรือบางคนรู้สึกว่าเป็นแค่มุกการตลาด โดยเฉพาะหากคลินิกนั้นให้ของฟรีแต่คุณภาพต่ำหรือไม่จริงใจกับลูกค้า แต่ถ้าคลินิกไหนกล้าให้ของดีฟรีจริงและมีความจริงใจในการบริการ สิ่งนี้จะสร้างความแตกต่างและคว้าใจลูกค้าได้อย่างยั่งยืน

อ่านต่อ

ตอนนี้เวลาออกแบบ Cover Facebook Page เราต้องคำนึงถึง ขอบภาพและ Safe Zone เป็นหลัก เพื่อให้เนื้อหาหลักแสดงผลได้ครบถ้วนบนทุกอุปกรณ์ อย่างบนเดสก์ท็อป ภาพจะถูกแสดงที่ขนาด 820 x 312 px ส่วนบนมือถือจะขยายเป็น 640 x 360 px ซึ่งพื้นที่ Safe Zone หรือ “พื้นที่ปลอดภัย” คือบริเวณตรงกลางภาพที่ขนาด 820 x 360 px เราควรเน้นวาง ข้อความสำคัญ หรือองค์ประกอบหลักให้อยู่ในโซนนี้ เพื่อป้องกันไม่ให้ขอบภาพถูกตัดเมื่อต่างอุปกรณ์แสดงผล และเพื่อคุณภาพสูงสุด ควรใช้ไฟล์ขนาดใหญ่กว่า เช่น 851 x 315 px ในการอัปโหลดครับ

อ่านต่อ

ตอบตามที่เห็นมาตลอด 12 ปี ของตลาดความงาม คือมันทั้งจริง และไม่จริงครับ

จริง เพราะ (ในอดีต) ยุคก่อนที่การแข่งขันยังไม่สูงเท่าปัจจุบัน และคู่แข่งอาจจะยังไม่ได้เน้นการตลาดมากนัก คลินิกที่มีสินค้าและบริการดีจริงๆ อาจจะอยู่ได้ด้วยคุณภาพและการบอกต่อของลูกค้าเป็นหลัก ทำให้ดูเหมือนว่าไม่ต้องพึ่งพาการโฆษณามากนัก ต่างคนต่างมีย่าน มีโซน แบ่งลูกค้าชัดเจน

ไม่จริง สำหรับยุคนี้ ตอนนี้ ที่มีคลินิกเปิดใหม่มากมาย การแข่งขันสูงมาก และทุกคนเข้าถึงเครื่องมือการตลาดได้ง่ายขึ้น การมีแค่สินค้าดี บริการดี อย่างเดียวไม่เพียงพอจริงๆ ครับ จำเป็นต้อง “บอก” ให้ลูกค้ารู้ “หา” ตลาดที่ใช่ และ “ทำ” การตลาดเพื่อเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายให้ได้ ซึ่งก็คือการโฆษณาและประชาสัมพันธ์ในรูปแบบต่างๆ นั่นเอง ออนไลน์ ออฟไลน์ ไม่ใช่สิ่งที่ต้องเลือกอีกต่อไป มันคือไม่ทำไม่ได้เลยต่างหากครับ

อ่านต่อ

ให้คำแนะนำได้ครับ ทีมการตลาดที่เหมาะสมสำหรับธุรกิจคลินิกไม่ได้มีรูปแบบตายตัว ต้องพิจารณาจากขนาดขององค์กร จำนวนสาขา และเป้าหมายทางธุรกิจ เช่น การเพิ่มยอดขาย การสร้างแบรนด์ หรือการขยายฐานลูกค้า ตำแหน่งในทีมสามารถปรับได้ให้เหมาะสมกับงบประมาณและทรัพยากรที่มี หากเป็นคลินิกขนาดเล็กถึงปานกลาง ควรเลือกทีมที่มีความสามารถหลากหลายในแต่ละตำแหน่ง เพื่อลดจำนวนคน แต่ยังคงฟังก์ชันหลักของการตลาด

สำหรับคลินิกที่มี 1-3 สาขา ทีมที่แนะนำควรมี 4 ตำแหน่งหลัก ได้แก่ Marketing Strategist ที่วางแผนการตลาดและดูแลการยิงโฆษณา, Content Specialist ที่สร้างคอนเทนต์และผลิตงานวิดีโอ, Design Specialist ที่ดูแลงานกราฟิก และ Influencer & Partnership Manager ที่บริหารความร่วมมือกับอินฟลูเอนเซอร์และพาร์ทเนอร์ ทีมขนาดนี้ช่วยให้ครอบคลุมทุกงานสำคัญ ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพและคล่องตัว เหมาะสำหรับการเริ่มต้นสร้างแบรนด์และขยายฐานลูกค้าในระดับท้องถิ่นหรือกลุ่มเป้าหมายเฉพาะต่อไป

อ่านต่อ

เมื่อจะเปิดคลินิกใหม่และต้องตัดสินใจเลือกสีแบรนด์ คุณมีสองแนวทางหลักในการพิจารณา แนวทางแรกคือการเลือกสีโดยอิงกับหลัก จิตวิทยาสี ซึ่งเป็นแนวคิดที่ศึกษาอิทธิพลของสีต่อความรู้สึกของมนุษย์และภาพลักษณ์ของธุรกิจ ตัวอย่างเช่น สีฟ้าและสีเขียวมักใช้ในคลินิกเพราะสื่อถึงความน่าเชื่อถือ ความสงบ และสุขภาพ สีขาวให้ความรู้สึกสะอาดปลอดภัย ส่วนสีชมพูหรือสีม่วงจะเหมาะกับคลินิกความงามเพราะสื่อถึงความอ่อนโยนและมีระดับ การเลือกสีในมิติของจิตวิทยาสี จะช่วยสื่อสารภาพลักษณ์ของคลินิกอย่างตรงจุด และสร้างความเชื่อมั่นในใจลูกค้าได้ง่ายขึ้นตามกลุ่มเป้าหมายของธุรกิจ

อีกแนวทางหนึ่งคือการเลือกสีโดยใช้หลัก “มูเก็ตติ้ง” (Muketing) หรือการพึ่งพาความเชื่อ โหราศาสตร์ และดวงชะตา ซึ่งกำลังเป็นกระแสนิยมในปัจจุบัน หลายธุรกิจเลือกใช้สีตามวันเกิดของเจ้าของ ตามธาตุประจำตัวของดวง หรือดูฤกษ์และศาสตร์ฮวงจุ้ยในการจัดวางสีที่เหมาะสม เช่น สีแดงหรือทอง หากต้องการเสริมด้านโชคลาภ สีเขียวเพื่อเรียกพลังความอุดมสมบูรณ์ หรือสีที่เป็น “สีมงคล” ตามศาสตร์ความเชื่อเพื่อดึงดูดลูกค้า วิธีนี้ไม่เพียงแต่สร้างเอกลักษณ์ให้แบรนด์ แต่ยังให้เจ้าของธุรกิจมั่นใจว่าคลินิกจะเริ่มต้นด้วยพลังบวกตามความเชื่อส่วนตัว ดังนั้นการตัดสินใจระหว่าง ความเป็นระบบ (จิตวิทยา) หรือความเชื่อแบบ มูเตลู (มูเก็ตติ้ง) ก็ขึ้นอยู่กับวิธีที่คุณรู้สึกว่าเหมาะสมสำหรับแบรนด์และตัวคุณมากที่สุด

อ่านต่อ

ได้ครับ ถ้าอยากได้คลิปครั้งเดียวที่ใช้ได้ทั้งแนวตั้งและแนวนอน ทำได้ครับ ถ่ายให้เฟรมกว้างหน่อย และจัดองค์ประกอบให้หมออยู่ตรงกลางเฟรม จะได้ครอบวิดีโอออกมาได้ทั้งสองแบบโดยภาพยังดูโอเค หรืออีกวิธีคือใช้กล้องที่ถ่ายแบบความละเอียดสูง (4K ขึ้นไป) เผื่อเวลาตัดต่อจะได้คุณภาพภาพที่ยังชัดอยู่

แต่ถ้าคุณหมออยากได้งานสวยที่สุดจริง ๆ ผมแนะนำว่าถ่ายแยกอันหนึ่งแนวตั้ง อันหนึ่งแนวนอนจะดีกว่าครับ จะได้คลิปที่เหมาะกับแต่ละแพลตฟอร์มเป๊ะ ๆ ไม่ต้องกังวลว่าเฟรมมันจะดูแปลก ครับ เพราะบางครั้ง เมื่อมีการขยับ ตัวจะดูแน่นเฟรมเกินไป โดยเฉพาะคุณหมอที่มีความกังวลกับรูปร่างตัวเองเป็นพิเศษ

อ่านต่อ

Home»FAQ»ทำไมเว็บคลินิกส่วนใหญ่ถึงชอบมี Slider ในหน้าแรก