คลินิกเราก็เขียนคอนเทนท์ดีนะ แต่ทำไมมันไม่ติดหน้าแรก Google

ดีเรากับดีของ Google, AI นั้นไม่เหมือนกันครับ บทความที่เรามองว่าเลิศเลอ มีภาพประกอบสวยงาม ใช้ภาษาที่สละสลวย อาจเป็นแค่หนังสือปกสวยที่ถูกวางไว้ผิดชั้นในสายตาของ Google ก็เป็นได้ เพราะสำหรับ Google แล้ว บทความที่ดีต้อง “หาเจอง่าย” และ “ตอบคำถามได้ตรงจุด” ซึ่งหมายความว่าต้องมีการวางโครงสร้างที่ถูกต้อง ใช้คีย์เวิร์ดที่คนค้นหาจริงๆ และเนื้อหาต้องแก้ปัญหาให้ผู้อ่านได้ทันที (มันอ่านที่เราเขียนไม่ออกด้วยซ้ำ แต่มันจะวัดจากอัลกอลิทึมอื่นๆ)

ดังนั้น การจะพาคอนเทนต์ของเราไปอยู่หน้าแรกให้ได้นั้น เราต้องเปลี่ยนมุมมองจากการเป็น “ผู้สร้างสรรค์ผลงานศิลปะ” มาเป็น “สถาปนิกผู้สร้างบ้าน” ที่ต้องวางเสาเข็ม (Keyword) วางโครงสร้าง (Headings) และตกแต่งภายใน (เนื้อหา) ให้แข็งแรงและตอบโจทย์ผู้อยู่อาศัย (ผู้อ่าน) มากที่สุด เมื่อเราเข้าใจและลงมือทำอย่างสม่ำเสมอ การทำให้คอนเทนต์ของคลินิกเป็นที่รักของทั้งคนอ่านและ Google ก็ไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไปครับ หากต้องการคำปรึกษาเพิ่มเติม ทีมงาน dgh.agency พร้อมให้ความช่วยเหลือเสมอครับ

วิน - ฝ่ายพัฒนาเว็บไซต์


คอนเทนต์ดี...แต่ทำไมไม่ติดหน้าแรก Google? ไขทุกปัญหาที่คลินิกความงามต้องรู้

คอนเทนต์ดี…แต่ทำไมไม่ติดหน้าแรก Google?

คำถามที่ผมพบบ่อยเวลาคุย หรือประชุมกับทีมการตลาดภายในของคลินิกที่มีเว็บไซต์ คือ “คลินิกเราก็เขียนคอนเทนต์ดีนะ รูปก็สวย ทำไมมันไม่เคยติดหน้าแรก Google เลย?” วันนี้ผมจะมาไขข้อสงสัยนี้ พร้อมแชร์แนวทางแก้ไขจากประสบการณ์ตรงที่ dgh.agency ของเราใช้ในการปั้นคลินิกต่างๆ ให้ประสบความสำเร็จครับ

“การตลาดบน Google ไม่ใช่การบอกว่าคุณดีแค่ไหน แต่คือการทำให้คนอื่นเชื่อว่าคุณคือคำตอบที่ใช่สำหรับพวกเขา”

คอนเทนต์ดี ในมุมมองของ Google แตกต่างจากเรา

สิ่งแรกที่ต้องทำความเข้าใจคือคำว่า “คอนเทนต์ดี” ในมุมมองของเรากับในมุมมองของ Google นั้นแตกต่างกันครับ เราอาจมองว่าบทความที่เขียนดีคือบทความที่ใช้ภาษาลื่นไหล รูปภาพสวยงาม ให้ข้อมูลครบถ้วน ซึ่งนั่นเป็นเพียงส่วนหนึ่งเท่านั้น แต่สำหรับ Google แล้ว “คอนเทนต์ที่ดี” ต้องมีคุณสมบัติทางเทคนิคที่เรียกว่า SEO (Search Engine Optimization) ประกอบอยู่ด้วย

ลองจินตนาการว่า Google คือบรรณารักษ์ในห้องสมุดขนาดใหญ่ที่สุดในโลก ต่อให้หนังสือของคุณดีแค่ไหน แต่ถ้าไม่มีการทำดัชนีหรือติดป้ายหมวดหมู่ที่ถูกต้อง บรรณารักษ์ก็หาไม่เจอ และไม่สามารถแนะนำให้คนที่กำลังมองหาหนังสือเล่มนั้นได้ คอนเทนต์ของเราก็เช่นกันครับ

เช็คลิสต์ 4 ข้อ ที่ทำให้คอนเทนต์ของคุณ “หาย” ไปจาก Google

จากประสบการณ์ที่ผ่านมา ผมพบว่ามี 3 ปัจจัยหลักๆ ที่ทำให้คอนเทนต์คุณภาพดีของหลายคลินิกไปไม่ถึงหน้าแรกสักที

  1. Keyword Research ที่ผิดพลาด คลินิกส่วนใหญ่มักจะเขียนคอนเทนต์โดยใช้ “คีย์เวิร์ดที่คิดว่าลูกค้าน่าจะใช้ค้นหา” เช่น “รักษาสิวที่ดีที่สุด” หรือ “ฉีดฟิลเลอร์ที่ไหนดี” ซึ่งเป็นคีย์เวิร์ดที่มีการแข่งขันสูงมาก และมักถูกครองพื้นที่โดยผู้เล่นรายใหญ่ การทำ Keyword Research ที่ดีคือการค้นหา “ช่องว่าง” ของตลาด หรือที่เรียกว่า Long-tail Keywords เช่น “รักษาสิวอุดตันสำหรับผิวแพ้ง่าย ย่านอารีย์” หรือ “ฟิลเลอร์ใต้ตาครั้งแรก เตรียมตัวอย่างไร” ซึ่งเป็นคำค้นหาที่เฉพาะเจาะจงกว่า แม้จะมีคนค้นหาน้อยกว่า แต่มีแนวโน้มที่จะเปลี่ยนเป็นลูกค้าจริงได้สูงกว่ามากครับ
  2. ขาดโครงสร้าง SEO ที่แข็งแรง บทความที่ดีต้องมีโครงสร้างที่ Google เข้าใจง่าย ซึ่งประกอบไปด้วย
    • Title Tag (หัวข้อบทความ): ต้องมีคีย์เวิร์ดหลักและดึงดูดให้คนคลิก
    • Meta Description (คำอธิบายสั้นๆ ใต้หัวข้อ): สรุปเนื้อหาและกระตุ้นให้คนอยากอ่านต่อ
    • Headings (H1, H2, H3): ใช้จัดลำดับความสำคัญของเนื้อหาในบทความ โดย H1 ควรมีเพียงหนึ่งเดียวและเป็นหัวข้อหลัก
    • Internal & External Links การใส่ลิงก์เชื่อมโยงไปยังบทความอื่นในเว็บของเรา (Internal) และการอ้างอิงเว็บที่น่าเชื่อถือ (External) ช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือให้กับบทความของเราในสายตา Google
  3. คอนเทนต์ไม่ตอบโจทย์ผู้ค้นหา (Search Intent) คุณต้องเข้าใจว่าคนที่ใช้คีย์เวิร์ดต่างๆ ค้นหา เขากำลังมองหาอะไรกันแน่? บางคนอาจกำลังหาข้อมูลเพื่อตัดสินใจ (Informational) บางคนพร้อมจะจองคิวแล้ว (Transactional) หรือบางคนแค่ต้องการเปรียบเทียบราคา (Commercial) คอนเทนต์ของคุณต้องตอบโจทย์ความต้องการเหล่านั้นให้ตรงจุดที่สุด หากคนค้นหาว่า “รีวิวฟิลเลอร์ปาก” แต่เจอบทความวิชาการจ๋าๆ เกี่ยวกับประเภทของฟิลเลอร์ เขาก็จะกดออกจากเว็บคุณทันที และ Google ก็จะบันทึกไว้ว่าคอนเทนต์ของคุณไม่ตรงกับสิ่งที่คนหา
  4. หนึ่งหน้าเว็บ…แต่มีหลายจุดประสงค์ อีกหนึ่งข้อผิดพลาดที่พบบ่อยคือการพยายามทำทุกอย่างในหน้าเดียวครับ คือในบทความเดียวกัน ทั้งให้ความรู้แบบเจาะลึก, ทั้งขายของบอกราคาโปรโมชัน, และแปะรีวิวของลูกค้าเข้าไปด้วย การทำแบบนี้ทำให้ Google ไม่เข้าใจว่าจุดประสงค์หลักของหน้านี้คืออะไรกันแน่ และจะจัดอันดับในหมวดหมู่ไหนดี ทางที่ดีคือการใช้หลักการ “1 หน้าเว็บ ต่อ 1 จุดประสงค์หลัก” ครับ ถ้าจะให้ข้อมูลก็เน้นให้ข้อมูลที่ดีที่สุด ถ้าจะขายก็ทำหน้านั้นเพื่อการขายโดยเฉพาะ หรือถ้าจะรีวิว ก็สร้างหน้าสำหรับรีวิวไปเลย การทำแบบนี้จะทำให้คอนเทนต์ของคุณชัดเจนและมีพลังมากขึ้นในสายตาของ Google

ทางลัดสู่หน้าแรก…คือทำอย่างสม่ำเสมอ

การทำ SEO ไม่ใช่เรื่องที่ทำครั้งเดียวแล้วจบ แต่มันคือการวิ่งมาราธอนที่ต้องทำอย่างต่อเนื่องและวัดผลเสมอครับ

  • เริ่มต้นจากการทำ Content Audit: กลับไปดูบทความเก่าๆ ของคุณ แล้วปรับปรุงโครงสร้างและเนื้อหาตามหลัก SEO ที่ผมกล่าวไป
  • ใช้เครื่องมือช่วย: เครื่องมืออย่าง Google Keyword Planner, Ahrefs, หรือ SEMrush จะช่วยให้คุณหาคีย์เวิร์ดที่ใช่และวิเคราะห์คู่แข่งได้ง่ายขึ้น
  • สร้าง Local SEO: สำหรับธุรกิจคลินิก การทำให้คนในพื้นที่หาคุณเจอนั้นสำคัญมาก อย่าลืมสร้างโปรไฟล์ Google Business Profile และใส่ข้อมูลคลินิก (ชื่อ, ที่อยู่, เบอร์โทร) ให้ครบถ้วนและตรงกันในทุกแพลตฟอร์มครับ

และเหนือสิ่งอื่นใด ก้าวแรกจริงๆ ของการทำ SEO ให้ติดหน้าแรกได้อย่างมั่นคง คือการมีโดเมนและเว็บไซต์ที่ดีตั้งแต่วันแรกที่ออนไลน์ครับ เว็บไซต์เปรียบเสมือนบ้านหรือที่ดินของเราบนโลกดิจิทัล ถ้าบ้านของเราโครงสร้างไม่ดี โหลดช้า ใช้งานบนมือถือยาก ต่อให้เราตกแต่งภายใน (ทำคอนเทนต์) ดีแค่ไหน ก็ยากที่จะทำให้คนอยากอยู่หรือทำให้ Google ประทับใจได้ การลงทุนกับเว็บไซต์ที่มีคุณภาพและโครงสร้างที่เป็นมิตรกับ SEO จึงไม่ใช่ค่าใช้จ่าย แต่คือการลงทุนที่สำคัญที่สุดเพื่อความสำเร็จในระยะยาวของคลินิกครับ


จ่ายเงินเดือนให้แล้ว ทำไมพนักงานขายยังไม่กระตือรือร้น? ให้ค่าคอม 1% ก็ไม่แย่นะ แต่ทำไมพนักงานยังไม่ค่อยจะดันยอดกันเท่าไหร่? หลายคลินิกเจอปัญหานี้เหมือนกันค่ะ เพราะคอมมิชชันแบบแบนๆ ต่อให้เปอร์เซ็นต์ดูสูง แต่ถ้าเป้าหมายยอดขายเพิ่มขึ้น ผลตอบแทนกลับเพิ่มไม่มากเท่าแรงที่ต้องทุ่ม ทำให้หลายคนรู้สึกว่าสู้ตายไปก็ได้เงินเพิ่มไม่คุ้มค่าความเหนื่อย

ลองเปลี่ยนวิธีคิดดูนะคะ จ่ายอินเซนทีฟแบบขั้นบันได — พอยอดขายเพิ่มถึงแต่ละขั้น ก็ได้เปอร์เซ็นต์หรือโบนัสเพิ่มอีก หรือมีรางวัลสำหรับคนที่ทำลายสถิติเดิม แบบนี้ทีมจะตื่นตัว อยากดันยอด และเห็นชัดว่าความพยายามตอบแทนคุ้มกว่าเดิม สุดท้ายแล้วคลินิกก็ได้ยอดขายที่ทะลุเป้าหมาย ทีมขายก็ภูมิใจและมีกำลังใจทุกเดือน ถ้าอยากรู้วิธีออกแบบโปรแกรมกระตุ้นทีมขายให้เวิร์กจริง อ่านต่อในบทความนี้ได้นะคะ!

อ่านต่อ

Google Business Profile คือจุดเริ่มต้นที่ดีที่สุด ใช้เวลาแค่ 2-3 ชั่วโมง แต่ได้ผลทันที
ที่สำคัญ – มันฟรี และเป็นการลงทุนที่คุ้มค่าที่สุดสำหรับธุรกิจใหม่

ผมเห็นหลายร้านเล็บ สปาเวียดนาม คลินิกเน้นราคาคุ้มค่า ทำแค่ขั้นตอนนี้ในเดือนแรก แล้วรีบไปยิงโฆษณา Facebook/Google Ads เพิ่ม ผลก็คือโทรศัพท์ดังไม่หยุด รับไม่วหาด! เพราะลูกค้าเห็นใน Google Maps ว่ามี “หน้าร้านจริงๆ” แผนที่ชัดเจน ข้อมูลครบถ้วน ดูเหมือนธุรกิจที่มีมาตรฐาน แม้จะเพิ่งเปิด 1-2 สัปดาห์ก็ตาม ความน่าเชื่อถือนี่แหละที่ทำให้ลูกค้ากล้าโทรมาถาม

ส่วนกุญแจสำคัญคือ “อย่าไปขัดกับ Google” เวลา Google ขอข้อมูลอะไร ขอรูปภาพ ขอยืนยันที่อยู่ ขอเบอร์โทรศัพท์ ให้ไปตามนั้นครบทุกอย่าง อย่าข้าม อย่าเว้น อย่าใส่ข้อมูลปลอม เพราะ Google รู้ทันที และจะลงโทษด้วยการไม่แสดงผลค้นหา หรือแสดงแต่อันดับต่ำๆ ยิ่งถ้ากรอกข้อมูลครบ 90% ขึ้นไป Google จะยิ่งชอบ ยิ่งแนะนำให้ลูกค้าเจอง่ายขึ้น

อ่านต่อ

แน่นอนครับ! เว็บไซต์ที่เราออกแบบและพัฒนาให้ลูกค้า ทุกประเภท—ไม่ว่าจะเป็นเว็บองค์กร, คลินิก, สปา, หรือร้านค้าออนไลน์—มีระบบป้องกันการ Hack รวมอยู่ในบริการเรียบร้อยแล้ว ไม่ต้องจ่ายเพิ่ม

เราให้ความสำคัญกับความปลอดภัยเป็นอันดับต้นๆ ตั้งแต่ขั้นตอนการออกแบบ พัฒนา ไปจนถึงส่งมอบ

  • ใช้มาตรฐานป้องกันภัยคุกคาม เช่น SSL, ระบบกรองสแปม, ป้องกัน Bruteforce, Firewall และระบบอัปเดตความปลอดภัย
  • ดูแลตั้งค่าความปลอดภัยให้ครบถ้วนตั้งแต่ต้น
  • มีทีมงานตรวจสอบและแนะนำวิธีใช้งานอย่างปลอดภัย
  • การสำรองข้อมูล (Backup)

รวมถึงมาตรการความปลอดภัยแบบ 2 ชั้น (Two-factor Authentication หรือ 2FA) ในบางกรณีหรือเว็บไซต์ที่ต้องการระดับความปลอดภัยสูง เช่น เว็บไซต์ที่มีระบบสมาชิก, ระบบหลังบ้านที่มีข้อมูลสำคัญ หรือเว็บไซต์ที่เป็นเป้าหมายในการโจมตีบ่อย เราสามารถติดตั้ง/ตั้งค่าระบบยืนยันตัวตนแบบ 2 ชั้นให้ได้เช่นกัน แต่อาจต้องประเมินและเลือกใช้ให้เหมาะกับรูปแบบเว็บไซต์และการใช้งานของแต่ละธุรกิจด้วยครับ

อ่านต่อ

ในทางทฤษฎี อาจดูเหมือนว่าผู้ใช้สามารถรอเว็บไซต์โหลดได้ 2-3 วินาที แต่ในทางปฏิบัติจริง ผมพบว่าคนส่วนใหญ่ไม่ค่อยอดทนรอขนาดนั้น โดยเฉพาะในกลุ่มลูกค้าคลินิกความงามที่คาดหวังประสบการณ์ที่รวดเร็วและมืออาชีพ หากเว็บโหลดช้ากว่า 1 วินาที ความสนใจของผู้ใช้จะลดลงอย่างเห็นได้ชัด จึงสรุปได้ว่าตัวเลข “1 วินาที” คือเป้าหมายที่ควรโฟกัส เพราะให้โอกาสสูงสุดที่จะดึงลูกค้าให้เข้ามายังเว็บไซต์ของเราได้มากที่สุด

อ่านต่อ

AEO (Answer Engine Optimization) คือเทคนิคการปรับแต่งเนื้อหาให้เหมาะสมกับการให้คำตอบโดย AI หรือผู้ช่วยดิจิทัล ซึ่งเน้นการจัดกลุ่มคำตอบที่ชัดเจน กระชับ และตรงประเด็น เพื่อให้ AI สามารถดึงไปใช้ตอบคำถามผู้ใช้งานได้อย่างแม่นยำและรวดเร็ว แตกต่างจาก SEO ที่เน้นการเพิ่มอันดับบนหน้าค้นหาและดึงดูดผู้คนเข้าชมเว็บไซต์โดยตรง

ตัวอย่างที่ชัดเจนจากลูกค้าของเราอย่าง D’ Lovevery Clinic ที่ทำงานร่วมกันมากว่า 1 ปี ด้วยการพัฒนาเนื้อหาถาม-ตอบในส่วน FAQ [https://dloveveryclinic.com/faq/] ทำให้เว็บไซต์ของคลินิกประสบความสำเร็จทั้งในด้านการค้นหาที่เพิ่มขึ้น, AI นำข้อมูลไปใช้เป็นคำตอบใน summary และเกิดยอดขายที่ดีขึ้นอย่างเป็นรูปธรรม ซึ่งแสดงให้เห็นว่าการใช้ AEO ร่วมกับ SEO สามารถสร้างคุณค่าและผลลัพธ์ที่ชัดเจนในธุรกิจจริงได้

อ่านต่อ

ปัญหาหลักที่หลายๆคลินิกกำลังเผชิญคือ กลยุทธ์การตลาดบน LINE ของเรากำลังดึงดูด “นักล่าของฟรี” เข้ามาเป็นจำนวนมากแทนที่จะเป็น “ลูกค้าตัวจริง” ครับ คนเหล่านี้แอดไลน์เข้ามาเพื่อรับของฟรี พอได้ของแล้วก็บล็อกทันที ประกอบกับการที่เราส่งข้อความโปรโมชั่นแบบหว่านหาทุกคนมากเกินไป ทำให้ผู้ติดตามที่อาจจะไม่ได้สนใจจริงๆ รู้สึกรำคาญและกดบล็อกตามไปด้วย ผลลัพธ์คือเราได้ฐานผู้ติดตามที่เยอะแต่ไม่มีคุณภาพ ยอดบล็อกจึงสูงกว่ายอดผู้ติดตามใหม่ และทำให้การตลาดของเราไม่เกิดผลลัพธ์ทางธุรกิจอย่างที่ควรจะเป็นครับ

สำหรับแนวทางการแก้ไขและแผนการตลาดเพื่อเปลี่ยนผู้ติดตามให้เป็นลูกค้าตัวจริง สามารถดูรายละเอียดฉบับเต็มด้านล่างนี้ได้เลยครับ

อ่านต่อ

Home»FAQ»คลินิกเราก็เขียนคอนเทนท์ดีนะ แต่ทำไมมันไม่ติดหน้าแรก Google